คนสมัยนี้ยิ่งไม่รู้จักธรรม ก็เช่นเดียวกับเด็กๆที่เหินห่างจากครูบาอาจารย์ โลกสมัยนี้จึงเป็นโลกที่ไม่เหมือนกับสมัยที่แล้วมา คือว่าในโลกสมัยที่แล้วมาคนยังถือธรรมเป็นหลัก พอมาถึงสมัยนี้ คนในโลกไม่ค่อยจะถือธรรมเป็นหลัก หรือถึงกับไม่ถือธรรมเป็นหลักเอาเสียเลยก็มี
เรื่องนี้ท่านทั้งหลายก็จะมองเห็นได้ด้วยตนเองไม่ยากนักว่าการที่ไม่ถือธรรมเป็นหลักนี้มีมากขึ้นในโลกอย่างไร หรือจะดูในทางผลของมันก็จะเห็นได้ว่าโลกในทุกวันนี้มีความเดือดร้อน มีความระส่ำระสาย มีความทุกข์ที่เกิดมาจากการ การเบียดเบียนตนเองและเบียดเบียนผู้อื่นมากขึ้นๆ
เบียดเบียนตนเองก็คือไม่รู้จักตั้งจิตตั้งใจไว้ในทางที่จะสงบเย็น เผาตัวเองให้ร้อน ก็คิดผิดพูดผิดทำผิด แล้วที่เบียดเบียนกันจากภายนอกคือคนอื่นมาเบียดเบียนนั้นมันก็มีมากขึ้น
ท่านทั้งหลายก็เห็นกันอยู่แล้วว่ามันเป็นอย่างไร มันมีอยู่สักเท่าไร และมันมากขึ้นสักเท่าไร นี่แหละคือลักษณะหรือเครื่องหมายของการที่ไม่มีธรรมหรือมีธรรมน้อยลงไป
มนุษย์สมัยนี้ทำสงครามกันกับพระธรรม พูดแล้วก็ ก็น่าขันคือน่าหัว หรือไม่น่าเชื่อ ที่อาตมาจะพูดว่ามนุษย์ คนสมัยนี้กำลังทำสงครามกับพระธรรม ท่านลองคิดดูว่าคนทำสงครามกับพระธรรมได้อย่างไร มันก็เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ยากนักว่าคนที่เหยียบย่ำธรรม ไม่ประพฤติตามธรรมนั่นแหละคือคนที่ทำสงครามกับพระธรรม
พระธรรมต้องการให้เป็นอย่างนี้ เขาไม่ยอมทำอย่างนี้ เขาทำไปในทางที่ตรงกันข้าม อย่างนี้เรียกว่าทำสงครามกับพระธรรม หรือจะพูดกันอย่างสมมติเป็นบุคลาธิษฐานก็ว่าทำสงครามกับพระเจ้า
คนสมัยนี้กำลัง กำลังทำสงครามกับพระเจ้ากันอยู่ทั่วไปทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คนรบราฆ่าฟันกัน เป็นสงครามในระหว่างคนต่อคนมนุษย์ต่อมนุษย์นั่น นั้นก็ยังไม่ใช่สงครามที่ลึกซึ้งอะไร สงครามที่ลึกซึ้งนั้นคือสงครามที่มีอยู่ระหว่างคนกับพระเจ้า
พระเจ้าไม่ต้องการให้คนทำสงครามแก่กันและกัน แต่คนก็กล้าดื้อกล้าฝืนทำสงครามแก่กันและกัน นี้คือการทำสงครามแก่พระเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่ทำสงครามแก่กันและกันจึงต้องได้รับโทษจากพระเจ้า คือมีความทุกข์กันอยู่อย่างไม่ขาดสายทั้ง ๒ ฝ่าย คู่สงครามทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นเป็นผู้กล้าทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าจึงลงโทษให้สาสมกันคือให้มีความทุกข์กันทั้ง ๒ ฝ่าย จนกว่าเมื่อใดจะปรองดองคืนดีกันได้ นั้นก็คือเลิกทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้รางวัลคือให้คนทั้งหลายอยู่กันเป็นผาสุก
ท่านจงไปคิดดูในข้อนี้ให้มากว่าคนนี้ละเลยธรรมะละเลยพระเจ้า จนทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้าเสียเอง ทั้งในยามปกติและในยามที่มีสงคราม
ในยามปกติที่มัน ที่เขาไม่รบกันนั้นก็ยังมีมนุษย์ที่ทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้า คือฝืนพระธรรมหรือฝืนคำของพระเจ้า ที่ฝืนกันมากที่สุดทั่วไปทั้งโลกก็คือว่าคนสมัยนี้แสวงหาหรือมีไว้เกินกว่าความจำเป็น
เขาต้องการจะให้สวย ให้รวย ให้สนุกสนานเอร็ดอร่อย เพลิดเพลินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายไม่มีที่สิ้นสุด แต่ส่วนพระธรรมหรือพระเจ้านั้นบอกว่าอย่าต้องการให้มันมากถึงขนาดนั้นเลย จงต้องการแต่เท่าที่จำเป็นแก่การที่จะเป็นอยู่กันอย่างผาสุกเถิด
ให้ทุกคนๆแสวงหาและมีไว้เท่าที่จำเป็น หรือเหมาะสม หรือสมควรแก่การที่จะมีความสุขกันอยู่ในโลกนี้ด้วยกันจงทุกคนเถิด ทีนี้คนในโลกไม่เชื่อฟัง แสวงหามากมายเกินกว่าความจำเป็นยิ่งกว่าเป็นมหาเศรษฐีไปเสียอีก และทุกคนกำลังต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น เมื่อทุกคนเป็นอย่างนั้นต้องการอย่างนั้นมันก็ต้องรบราฆ่าฟันกัน นี่เรียกว่ามีผลทั้งขึ้นทั้งล่อง
แสวงหาหรือมีไว้เกินความจำเป็นนั้นมันเพิ่มกิเลสตัณหา มันทำให้มีความโลภจัดโกธรจัด มีความอิจฉาริษยาจัด มีการกระทำซึ่งเบียดเบียนกันโดยง่าย นี่ก็เป็นการทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่งอยู่แล้ว เมื่อควบคุมไว้ไม่ได้ก็ต้องทะเลาะวิวาทกันหรือทำสงครามกัน
มนุษย์นี้มีแต่ความหมายมั่นว่าตัวกูและของกู แม้จะไม่พูดออกมาทางปากเป็นศัพท์เป็นเสียง แต่ในจิตใจมันก็มีความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูว่าของกูอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นพวกที่แสวงหาเกินความจำเป็นนั้นเป็นผู้ที่ทำสงครามกันกับพระเจ้าหรือพระธรรม จะต้องมีความเดือดเนื้อร้อนใจ นอนไม่หลับ เป็นโรคเส้นประสาท เป็นวิกลจริตกระทั่งถึงตายในที่สุด แต่ถ้าผู้ใดมีจิตใจปกติ ไม่มุ่งมั่นอย่างนั้น กระทำไปตามที่ถูกที่ควรแล้วก็ไม่ต้องรับบาปกรรมอันนั้น และบางทีจะร่ำรวยได้ง่ายๆโดยไม่ต้องยุ่งยากลำบากด้วยซ้ำไปนี่เป็นผลรางวัลของการที่เชื่อฟังพระเจ้าเชื่อฟังพระธรรม
ในที่สุดผู้ที่มัวเมาอยู่ด้วยความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีสร่างไม่มีซา นี่ก็คือผู้ที่ทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้คนเกิดมาโง่ถึงขนาดนั้น ลองคิดดูให้ดีว่าพระธรรมไม่ได้ต้องการให้คนโง่ถึงขนาดนั้น ต้องการให้คนอยู่ด้วยความเป็นปกติสุขมีความสะอาด สว่าง สงบพอสมควรแก่อัตภาพ
เดี๋ยวนี้คนก็ไปบูชาเหยื่อทางอายตนะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่เป็นเรื่องกามารมณ์ไม่มีที่สิ้นไม่มีที่สุด นี้ก็คือการทำสงครามกันกับพระธรรมหรือพระเจ้า
ทีนี้เราดูต่อไปโดยไม่ต้องเกรงใจใครว่า คนทุกคนในโลกทุกประเทศ ไม่เฉพาะประเทศไหน ทุกประเทศในโลกเขาก็เตรียมกันไปในทางที่จะเบียดเบียนกันเอาเปรียบกัน เช่นว่ามีการตระเตรียมทางทหารกันทุกประเทศ มีการตระเตรียมทางเศรษฐกิจกันทุกประเทศ มีการตระเตรียมทางการเมืองกันทุกๆประเทศ แต่แล้วตระเตรียมเพื่ออะไรกัน มันตระเตรียมเพื่อความโลภโมโทสัน ตระเตรียมเพื่อจะเอามาให้มาก เพื่อจะกวาดล้อมเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัว หรือเพื่อจะรวมหมู่รวมพวกกันต่อสู้ฝ่ายตรงกันข้ามแล้วเอามาแบ่งกัน อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ทำสงครามกันกับพระเจ้า ทำสงครามกันกับพระธรรม เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น พระธรรมก็ไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น แต่มนุษย์ก็ยังคงทำ เรียกว่ามนุษย์นี่เตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ท่านจะนึกว่ามันเป็นคำด่าหรือคำสบประมาทหรืออะไรก็ตามที แต่อาตมาจะยืนยันอยู่ว่ามนุษย์นี้เตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่น
ทุกคนลองตรวจสอบตัวเองดูว่าเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะเอาเปรียบผู้อื่นหรือไม่ แล้วมีกี่คนที่เตรียมพร้อมที่จะเสียสละให้ผู้อื่น แล้วมันมีกี่คนที่เตรียมพร้อมเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่นทุกกระเบียดนิ้ว
นี่ผู้ที่เตรียมพร้อมที่จะเอาเปรียบผู้อื่นทุกกระเบียดนิ้วนี้คือผู้ที่ทำสงครามกันกับพระธรรม ทำสงครามกันกับพระเจ้า เหยียบย่ำพระธรรม เหยียบย่ำพระเจ้า กล้าดื้อกล้าดึง กล้าฝ่าฝืนพระธรรมหรือพระเจ้า คำว่าเอาเปรียบผู้อื่นในที่นี้หมายความว่าเตรียมพร้อมที่จะได้ประโยชน์มาเป็นของตนแทนที่จะให้ผู้อื่นได้ และพร้อมที่จะเอามาเป็นของตนโดยไม่ต้องคิดถึงผู้อื่น มัน ดูผิวๆเผินๆก็คล้ายๆกับว่าไม่เป็นอย่างนั้นเลย แต่ถ้าดูให้ลึกซึ้งลงไปแล้วจะเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้น เว้นเสียแต่จะมีสิ่งๆหนึ่งเข้ามาแทรกแซงคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง
ธรรมะที่ท่านอาจารย์ของเราเคยพร่ำสอนนั่นเองว่าเห็นแก่มันบ้าง สงสารมันบ้าง อย่าเอาเปรียบมันเลยอย่างนี้ จะเป็นคำที่ท่านอาจารย์เคยพูดแล้วไม่น้อยกว่าร้อยๆครั้งหรือพันๆครั้ง ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใดมันก็เอาเปรียบผู้อื่นไม่ได้ พร้อมที่จะเสียสละให้ผู้อื่นอยู่เสมอไป ข้อนี้จะมองเห็นได้หรือพิสูจน์ได้ง่ายๆโดยมองดูกันต่อไปว่า มนุษย์นี้มีแต่ความหมายมั่นว่าตัวกูและของกู แม้จะไม่พูดออกมาทางปากเป็นศัพท์เป็นเสียง แต่ในจิตใจมันก็มีความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูว่าของกูอยู่เสมอ จนกระทั่งถูกลิงด่า อาตมาชอบเล่านิทานเรื่องลิงด่า ไม่กลัวว่าใครจะเบื่อ เพราะ ฉะนั้นวันนี้ก็จะต้องเล่าอีกว่า
มีลิงพระโพธิสัตว์อยู่ในป่า ถูกจับมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน เลี้ยงไว้ดูเล่นในสวนอุทยาน พอเวลาล่วงไปๆพอสมควรแล้วพระเจ้าแผ่นดินก็เบื่อ บอกว่าเอาลิงตัวนี้ไปปล่อยกลับเสียใน กลับไปในป่าเถิด คนก็ คนใช้ก็เอาลิงโพธิสัตว์นั้นไป กลับไปปล่อยที่ในป่าตามเดิม ลูกลิงบริวารทั้งหลายก็มาเยี่ยมมาถามว่าเมื่อท่านไปอยู่ในเมืองมนุษย์นั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ ลิงพระโพธิสัตว์ก็ตอบว่าไม่มีดอก อย่าถามเลย เรื่องนี้อย่าถามเลย ลูกลิงก็รบเร้าว่าจงเล่าเถิดมันต้องมีแน่ๆ พระโพธิสัตว์ทนไม่ได้ก็บอกว่าในเมืองมนุษย์นั้นทั้งกลางวันและกลางคืนมีแต่เสียงว่าเงินของกู ทองของกู ลูกของกู เมียของกู ผัวของกู
พระโพธิสัตว์พูดไม่ทันจบ ลูกลิงทั้งหลายก็ลุกขึ้นฮือไปที่ลำธารไปล้างหู บอกว่าหูเพิ่งสกปรกเสียแล้วในวันนี้เพราะได้ยินคำอย่างนี้ นี่นิทานนี้ไม่ใช่นิทานชาวบ้านพูด มีอยู่ในพระคัมภีร์ส่วนที่เรียกว่าคัมภีร์ชาดก ไปหาอ่านโดยพิสดารก็ได้ แสดงไว้ในลักษณะที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่ามนุษย์ตกอยู่ในสภาพที่ลิงด่าด้วยการล้างหูอยู่ทุกวันทุกคืน ใครจะรู้จักเจ็บหรือ ไม่รู้จักเจ็บก็ไปคิดเอาดู
ดูเอาเองเถิดว่ามนุษย์นี้ตกอยู่ในสภาพที่ถูกลิงด่าด้วยการล้างหูอยู่ทุกวันทุกคืนเพราะพูดว่าเงินของกู ทองของกู ลูกของกู ผัวของกู เมียของกูจนไม่รู้ว่าจะกี่ร้อยอย่างพันอย่าง นี้มันเป็นโจรปล้นธรรมชาติ มนุษย์เหล่านี้เป็นโจรปล้นธรรมชาติ ถ้าใครมีปัญญาสักหน่อยก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งปวงบรรดามีอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตามมันเป็นของธรรมชาติไม่ใช่ของใคร แต่มนุษย์โง่เขลาเบาปัญญาเหล่านี้ไปปล้นเอามาเป็นของกู ที่นาก็ของกู ที่สวนก็ของกู ป่านี้ก็ของกู อะไรนี่ก็ของกู อะไรๆก็ของกู นี้เรียกว่าเป็นโจรปล้นธรรมชาติเอามาเป็นของกู เพราะฉะนั้นลิงจึงล้างหูใส่หน้าให้เป็นการด่าว่ามนุษย์นี้มีเท่านี้เอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังให้มากในการที่จะเกิดความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู ท่านอาจารย์จะต้องเคยห้ามอยู่ตลอด เวลาว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานว่าตัวเราว่าของเรา หรือว่าตัวกูว่าของกูดังนี้เป็นแน่ เดี๋ยวนี้มนุษย์เป็นโจรปล้นธรรมชาติกันไปหมดแล้ว อะไรก็ของกู แล้วก็ของกูมากขึ้นจนเอาเปรียบผู้อื่น จนฆ่าฟันผู้อื่นเพื่อจะเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัวนี่ นี้เรียกว่าเป็นการทำสงครามกับพระเจ้าหรือพระธรรม
การศึกษาของมนุษย์ในโลกสมัยนี้ก็เป็นทาสของกิเลสตัณหาคือจัดการศึกษาไปตามกิเลสตัณหาของมนุษย์นั้นเพื่อประโยชน์ทางวัตถุหรือความสุขทางเนื้อทางหนังอย่างเดียว ไม่รู้จักพระธรรมไม่รู้จักพระเจ้า ให้มันเรียนถึงมหาวิทยาลัยหรือยอดมหาวิทยาลัยไหนมันก็ไม่รู้จักพระธรรมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าการศึกษานี้มันจัดไปแต่ในทางได้มาซึ่งวัตถุเพื่อเอามาเป็นตัวกูเพื่อเอามาเป็นของกูนี่แหละคือข้อที่มนุษย์กำลัง กำลังทำสงครามกันอยู่กับพระเจ้า มนุษย์ทั้งโลกกำลังทำสงครามกันอยู่กับพระเจ้าหรือกับ กับพระธรรม แล้วมนุษย์จะมีความผาสุกได้อย่างไร
เรียกว่ามหาสงครามมันเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วโลกนี้มันจะมีความสุขได้อย่างไร ข้อที่ว่าองค์การโลก องค์การนั้นองค์การนี้ องค์การโลก โลกนั้นนั่นแหละอวดอ้างว่าจะจัดให้โลกนี้มีสันติภาพ มันก็เป็นของน่าหัวเราะเยาะอย่างเด็กอมมือ
มนุษย์จะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพได้อย่างไรในเมื่อการสงครามนี้มันมีอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าไม่ใช่ทำสงครามกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
ท่านลองคิดดูให้ดีมันทำสงครามกันอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้า แล้วมนุษย์ไหนจะมีปัญญาขจัดสงครามนี้ให้ออกไปได้ เว้นไว้แต่ว่ามนุษย์จะหันหน้าไปคืนดีกับพระธรรมหรือพระเจ้าเสียให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าหรือพระธรรมก็จะบันดาลให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลกนี้
นี่การศึกษาของมนุษย์ในโลกในปัจจุบันนี้ไม่เป็นไปเพื่อหันไปหาพระธรรมหรือพระเจ้ากันเสียเลย มีแต่จะให้เหินห่างออกไป มันจึงได้รับความทุกข์มากมายกันถึงขนาดนี้ ท่านอาจารย์ของเราไม่เคยสอนอย่างนี้ ไม่เคยสอนให้หันหลังให้พระธรรมหรือพระเจ้า เคยสอนให้หันหน้ามาหาพระธรรม ให้เชื่อพระพุทธ ให้เชื่อพระธรรม ให้เชื่อพระสงฆ์ ให้ตั้งตนอยู่ในการไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ให้มองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่เป็นประจำ เพื่อว่าจะไม่ไปโง่ไปหลง หมายมั่นปั้นมือว่านั่นนี่เป็นตัวกูเป็นของกูจนถูกลิงล้างหูใส่หน้า ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
ทีนี้ดูให้ดีต่อไปอีกว่ามนุษย์นี้กำลังทำสงครามกันอยู่กับพระเจ้า แล้วจะมาอวดอ้างว่าจะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพ มนุษย์สมัยนี้ทำลายธรรมะ ทำลายความประสงค์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นทุกที มีความเห็นแก่ตัวมากยิ่งขึ้นทุกที มีความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นทุกที
ท่านจงดูให้ดีว่ามันมากขึ้นทุกทีอย่างไร สิ่งที่น่าอัปยศอดสูที่สุดก็คือการศึกษาที่จัดไปในทางให้ไม่รู้จักพระเจ้าหรือรู้จักพระธรรม แม้แต่จะจัดการกีฬา ก็จัดไปเพื่อให้คนเห็นแก่ตัว ในสนามกีฬาที่แข่งขันกันระหว่างชาติระหว่างประเทศนั้นก็มีการชกต่อยกันในหมู่ ในหมู่นักกีฬานั่นเอง ท่านลองคิดดูเถิดว่านักกีฬาที่มีเกียรติมาจากต่างชาติต่างประเทศก็มาชกต่อยกันในสนามกีฬานั่นเอง
ทั้งที่พูดว่ากีฬานี้มีไว้เพื่อฝึกหัดความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา แต่แล้วมันก็มาชกต่อยกัน เพราะมันถือเรื่องเกียรติของกู เรื่องชื่อเสียงของประเทศของกูอะไรเหล่านี้ทั้งนั้น นักกีฬาจึงชกต่อยกัน ไม่เหมือนกับนักกีฬาในสมัยที่เขาไม่มีความเห็นแก่ตัวจัดอย่างนี้ แม้อย่างนี้ก็เรียกว่ามนุษย์กำลังกล้าลองดีกับพระธรรมหรือพระเจ้า กำลังทำสงครามกับพระเจ้า อย่าเล่นกีฬา นอนเสียให้สบายที่บ้านดีกว่าเพราะมันไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัว พอลงไปในสนามกีฬามันก็เพิ่มความ เห็นแก่ตัว ไม่ได้อย่างใจก็ชกต่อยกัน อย่างนี้เรียกว่าอย่าเล่นกีฬาชนิดนั้นเสียเลยจะดีกว่า ขืนลงไปเล่นก็มันเป็นการทำสงครามกับพระเจ้าอีกต่อไปอย่างแน่นอน นี่แหละเรียกว่ามนุษย์ทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้าไปเสียหมดทุกหัวระแหง ทุกอย่างทุกทาง
จะดูกันให้ใกล้เข้ามาก็คือเรื่อง เรื่องช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันนี้เขาถือกันว่าเป็นความดี ไอ้เราก็ยอมรับว่าเป็นความดี แต่ว่าการที่ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันเพื่อเอาเกียรติเอาหน้าอะไรอย่างนี้มันไม่ใช่ความช่วยเหลือที่ถูกต้อง
ทำบุญเอาหน้าแต่อ้างว่าเพื่อพระธรรม ทำบุญเพื่อพระธรรมทำบุญเพื่อพระเจ้าแต่ที่แท้ก็ทำบุญเพื่อเอาหน้าเอาเกียรติของตัว อย่างนี้ก็เรียกว่าทำสงครามกับพระเจ้า แต่ถ้าว่าช่วยเหลือเอื้อเฟื้อกันเพื่อซื้อเขามาเป็นพวกเรา แล้วยกพวกไปข่มเหงผู้อื่น อย่างนี้มันก็ยิ่งเป็นการทำสงครามกันกับพระเจ้า
เพราะฉะนั้นให้ระวังให้ดีๆสำหรับสิ่งที่เรียกกันว่าความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือนี่มันคืออะไรกันแน่ ถ้าเป็นความช่วยเหลือเพื่อเอาหน้าเอาตา หรือเพื่อซื้อคนอื่นมาเป็นพวกของตัวแล้ว ความช่วยเหลือนี้เรียกว่าการทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ พระธรรมไม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ ต้องการให้คนเสียสละบริจาคออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ท่านอาจารย์ของเราก็สอนอย่างนี้ ให้เสียสละออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เพื่อซื้อเอาเขามาเป็นพวกเรา เหมือนที่เขาทำกันอยู่ในสมัยนี้ นั้นมันเป็นการสมคบกันทำสงครามกันกับพระเจ้า ขอให้คิดดูให้ดีเถิดว่าคนกำลังทำสงครามกันกับพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร
ทีนี้เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของวัตถุของกิเลสเนื้อหนังมากขึ้นแล้วก็ยิ่งทำสงครามกันกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีก ข้อนี้จะรู้ได้ในเรื่องอันเกี่ยวกับจริยธรรมหรือศีลธรรม เดี๋ยวนี้คนหลงใหลในเรื่องลามกอนาจาร ไม่เห็นแก่ศีลธรรมมากขึ้นทุกที แก้ไขกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมเสียใหม่ให้กลายเป็นไม่ลามกอนาจาร
การแต่งเนื้อแต่งตัวซึ่งไม่เคยมีก็มีขึ้นมาในลักษณะที่เรียกว่าคนสมัยโบราณเห็นแล้วก็จะต้องวิ่งหนี มนุษย์หลอกลวงกันเองให้เป็นเครื่องเล่นในทางกามารมณ์แก่กันและกันเองมากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้นเครื่องนุ่งห่มของสตรีจึงสั้นเข้าๆ สั้นเข้าทุกปีๆ เพราะว่ามนุษย์ทำสงครามกันกับพระเจ้าในลักษณะอย่างนี้ กล้าลองดีกับพระธรรมอย่างนี้มันก็มีเรื่องวุ่นวายในโลกมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้
ขอให้คิดกันดูเสียใหม่ในทางที่จะไม่ทำสงครามกันกับพระเจ้า การทำสงครามกันกับพระเจ้านั้นมันคือการตบหน้าตัวเอง กล้าทำสงครามกับพระเจ้าเท่าไรมันก็ยิ่งเป็นการตบหน้าตัวเอง เชือดคอตัวเอง ขุดหลุมฝังตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น ขออย่าได้กล้าคิดไปในทำนองที่จะทำสงครามกันกับพระเจ้าหรือพระธรรม ให้คิดเสียใหม่ ให้ถอยหลังกลับมาในทางที่จะเคารพนับถือบูชาพระเจ้าหรือพระธรรม
ท่านอาจารย์ของเราต้องการอย่างนี้ อาตมายืนยันว่าท่านอาจารย์ต้องการอย่างนี้ เมื่อท่านทั้งหลายยังมีความกตัญญูต่อท่านอาจารย์อยู่ก็จงประพฤติกระทำให้ตรงตาม ตามความประสงค์ของท่านอาจารย์ ว่าท่านทั้งหลายอย่าได้กล้าทำตนเป็นคู่สงครามกันกับพระธรรมหรือพระเจ้าเลย จงบูชาพระธรรมในฐานะเป็นสิ่งที่สูงสุด แม้แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็บูชาธรรมเคารพธรรม
จงเห็นแก่ธรรม แล้วจงเป็นอยู่ให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม การกินอาหารก็ดี การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี การอยู่อาศัยก็ดี ทุกๆอย่างของการเป็นอยู่นั้นให้ประกอบไปด้วยธรรม
การประกอบไปด้วยธรรมนี้ไม่ยากที่จะเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่าให้ดำเนินไปอย่างพอเหมาะพอสม อย่างเรียกว่ากินดีอยู่ดี อย่างนี้เรียกว่าถูกต้องตามธรรมหรือไม่ลองคิดดู ถ้าว่ากินดีอยู่ดีมันเตลิดเปิดเปิงออกไปจนต้องมีเงินใช้ ต้องมีอะไรมากมายเกินไปแล้วมันไม่ถูกตามธรรม
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าจงกินอยู่ให้พอดี มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง กินอยู่พอดี ถ้าอย่างนี้มันจะเป็นไปเพื่อธรรม เพื่อพระธรรมตามความประสงค์ของพระเจ้า แต่ถ้าว่ากินดีอยู่ดีขยายออกไปจนไม่มีที่สิ้นสุด จนว่าทุกๆคนจะต้องมีนั่นมีนี่เต็มไปทั้งบ้านทั้งเรือนอย่างนี้แล้วมันก็เป็นการหลอกลวง เป็นการทำสงครามกับพระธรรมด้วยการหลอกลวง หมายความว่าเป็นเหยื่อของกิเลส ตกเป็นทาสเป็นบ่าวของกิเลสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมากเกินไป มีอาการที่เรียกว่าหลงใหลมัวเมาในกามคุณหรือในกามารมณ์ ที่เรียกกันว่ากินดีอยู่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นกินอยู่พอดีมันก็ไม่มีทางจะผิดเลย
อาตมากล้ายืนยันว่าท่านอาจารย์ของเราต้องการให้ท่านทั้งหลายทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่าจงกินอยู่พอดี อย่าให้ถึงกับกินดีอยู่ดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดที่หมายมั่นปั้นมือกัน มีนั่นแล้วจะมีนี่ จะมีตู้เย็นจะมีอะไรเรื่อยขึ้นไปในเรื่องการกินอย่างนี้มันก็คือคนบ้า เพราะว่าทุกคนไม่อาจจะมีอย่างนั้นได้ และขืนไปมีอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องวุ่นวายมากไปกว่าเดิมเพราะว่ามันเกินความจำเป็น
ที่มา: ส่วนหนึ่งจาก ธรรมบรรยาย เรื่อง มนุษย์ทำสงครามกับพระธรรมและพระเจ้า (เทศน์วัดศรีเวียงวันบรรจุศพอาจารย์ วัฑฒโน)
ฟังทั้งหมดได้ที่ http://sound.bia.or.th/catalogue.php?item_code=1935120401000